พาผู้ป่วยอัมพาตออกสู่โลกภายนอก (บ้าน) ครั้งแรกกันค่ะ

หลังจากที่อยู่กันแต่บนห้องเป็นระยะเวลากว่า 2 อาทิตย์
ก็ถึงฤกษ์งามยามดี น้องสาวกับเพื่อนมาหาที่กรุงเทพ 
ก็คุยกันไว้ว่าจะพาแฟนออกไปเดินเล่นที่ห้างด้วยกัน ช่วยกันดูแล
เค้าจะได้สดชื่นขึ้น (รึเปล่าหว่า...)


ก็ประคองกันทุลักทุเลลงจากชั้น 4 ของอพาร์ทเม้นท์ น้องสาววิ่งไปตามแท็กซี่
เข้ามารับในซอยออกไปเดินห้างเซ็นทรัลกัน 
แฟนยังเดินไม่สะดวกนะคะ ต้องประคอง ประกบหน้าหลังกันตลอดเวลาเลยทีเดียว
แล้วก็ต้องใช้ไม้สามขาอยู่ตลอดค่ะ การเดินก็ช้ามาก มากกว่าที่เต่าเดินนะคะ
เพราะบอกแล้วว่าเด็กหัดเดินยังเดินไวกว่าค่ะ

เราเองเป็นคนที่เดินเร็วมาก เรียกว่าเดินกับใครเป็นโดนทักว่า "จะไปตามควายที่ไหน"
เสียทุกทีไป ยอมรับว่าตัวเองก็ปรับอารมณ์ยากค่ะ ที่ต้องมาเดินนับก้าว
แต่ละก้าวก็สั้นมาก มากจนเหมือนไม่ได้เดินเลย แถมต้องคอยประคองแฟนกลัวล้มอีก


(ตอนหลังเริ่มคิดได้ว่า จริงๆ แล้ว เราเดินช้าลงบ้างก็ดี จะได้มีเวลาคิดทบทวน
เรื่องราวระหว่างทางด้วยว่าเราผ่านอะไรมาบ้าง)


เดินไปคนก็พากันมอง (อย่างเยอะ) เข้าใจอารมณ์นี้มั๊ยคะ
เจอกลุ่มวัยรุ่น (แอบ) ไฮโซ เธอก็จะทำหน้าแอ๊บแบ๊วเหมือนว่า คนๆ นี้เค้าเป็นอะไร
เกิดมาไม่เคยพบเคยเจอ จะจ้องจนเหลียวหลัง จนเราอารมณ์ขึ้น (ยอมรับว่าหงุดหงิดมาก
สายตาที่มองมาไม่ได้เป็นสายตาของความเห็นใจเลยซักนิดเดียว)
บางรายแบ๊วมาก  เราหันไปบอก "น้องคะ เดินมาดูใกล้ๆ ก็ได้ค่ะ" 
555 ถึงกับเหวอเดินหนีกันไปเลย  แบ๊วดีนัก (แอบร้ายเหมือนกันนะเรา)


แต่ในสังคมก็ไม่ได้มีแต่คนประเภทข้างบนหรอกค่ะ บางท่านก็ดีเหลือเกิน
เห็นแฟนเราอาุยุยังน้อย ก็เดินเข้ามาสอบถามด้วยความอารีย์
ว่า "หนู น้องผู้ชายเค้าเป็นอะไรมา อายุยังน้อย อุบัติเหตุเหรอลูก
...... ลองไปรักษาที่นี่ดูนะหนูนะ คนข้างบ้านเคยเป็นตอนนี้หายแล้ว
เอาใจช่วยให้หายเร็วๆ นะ ดีจังแฟนคอยดูแล พาออกมาข้างนอกด้วย
เป็นคนอื่นเค้าอายไม่พาคนไข้แบบนี้มาหรอก คนไข้ก็เศร้าอยู่กับบ้าน"


อยากบอกว่า อย่าอายค่ะ ซักพักเราจะชินไปเอง เมื่อก่อนเราก็ทำงานสายห้าง
เวลาเห็นลูกๆ พาคุณแม่นั่งรถเข็นมาเที่ยวห้างด้วยกัน ทานข้าวด้วยกันแล้วรู้สึกดีมากค่ะ


หลายคนเลือกที่จะเก็บผู้ป่วยไว้กับบ้าน อยากบอกว่า ยิ่งเราพาเค้ามาใช้ชีวิตปกติมากเท่าไหร่
ตัวคนไข้เค้าก็จะปรับตัวได้เร็วขึ้น เค้าจะรู้สึกว่าอยากจะหาย แล้วเค้าก็จะตั้งใจออกกำลังกาย
และทำกายภาพบำบัดมากขึ้นค่ะ เหมือนแฟนเรา
จากที่เราเคยรู้สึกว่าเค้าเดินช้ามากกกกกกกกกกกกกก จนแทบไม่ได้เดิน
ตอนนี้เราเดินเร็วเท่ากันแล้วค่ะ ถึงแม้ท่าเดินเค้าจะยังดูแปลกๆ อยู่นิดหน่อย
แต่เราก็ภูมิใจค่ะที่เค้าดีขึ้นขนาดนี้


ฝากไว้นิดนึงนะคะ เวลาไปพบเจอคนที่เค้าป่วยแบบนี้ เค้าจะเดินแปลกๆ
คนไข้เค้ารู้ตัวค่ะ ขอร้องนะคะ ถ้ารับไม่ไ้ด้ อย่าไปมองเค้าด้วยสายตาแบบมีคำถามแปลกๆ
ให้เค้ารู้สึกแย่เลยค่ะ  ความเจ็บป่วยมันเลือกกันไม่ได้ค่ะ ไม่มีใครอยากเจ็บป่วย อยากผิดปกติ


และถ้าเป็นไปได้ นอกจากเด็ก สตรี คนชรา หญิงมีครรภ์แล้ว หากพบเห็นผู้ป่วยบนรถเมล์
กรุณาเสียสละที่นั่งให้เค้าด้วยเถิดค่ะ แฟนเราขึ้นรถเมล์นับครั้งได้เลยค่ะที่มีคนเสียสละที่นั่งให้
ยืนตลอดค่ะ รถเบรคที เราต้องจับราวไว้ด้วย จับแฟนไว้ด้วย เพราะเค้าแรงยังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ค่ะ


ผ่านไปสามเดือน มันยาวนานมากค่ะสำหรับเราตอนนั้น แฟนไม่ยอมใช้ไม้สามขาอีกต่อไป
เค้าเดินด้วยตัวเองแล้ว เรื่องเริ่มไปได้ดีใช่มั๊ยคะ
แต่... ไม่ใช่ค่ะ มีเหตุการณ์ระทึกรอบใหญ่มาให้เสียน้ำตากันอีกแล้ว ติดตามต่อบล็อกต่อไปค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น