ห้องฉุกเฉินรอบที่ 2 (เฮ้อ....)

หลังจากเช็คบิลออกจากรพ. A (เอกชน) แล้วก็พาแฟนขึ้นรถของพี่ชายเค้าไป รพ. B 
(รพ.ต้นสังกัดสิทธิบัตรทอง) ตอนนั้นสงสารแฟนมากๆ เพราะตอนแรกเค้ารู้ว่าจะได้กลับบ้าน
ก็ดีใจจนออกนอกหน้าเลย แต่พอรู้ว่าต้องไปอีก รพ. เค้าก็ซึมไปเลย 


ไปถึงรพ. ก็สเต็ปเดิมค่ะ ไปซักประวัติใหม่กันอีกรอบ นับ 0.5 ใหม่ จะบอกว่านับ 0 ก็ไม่เชิง
ไปถึงรพ. 6 โมงเย็น ได้ขึ้นตึกอายุรกรรมตอนสองทุ่มกว่าแล้ว วันนั้นสงสารแฟนมาก
เพราะทางรพ. ห้ามเฝ้าทุกกรณี เยี่ยมได้ถึงสองทุ่มเท่านั้น กลับมาอพาร์ทเม้นท์ก็ร้องไห้จนหลับไป
ตื่นหกโมงเช้าไปหาแฟนต่อ อยากบอกว่าสภาพแวดล้อมที่ตึกอายุรกรรมของรพ. นี้หดหูมากมาย
มีทั้งคนไข้ที่โดนผูกแขนกับเตียงแล้วมีกระดาษแปะไว้ว่า "หากญาติมาให้ติดต่อเคาน์เตอร์พยาบาลด่วน"

แล้วเตียงก็แน่นจนไปยืนข้างเตียงแฟน ไม่สามารถเอาเก้าอี้ไปนั่งได้อ่ะค่ะ ยืนคุยได้อย่างเดียว
ก็เข้าใจว่าคนไข้เยอะจริงๆ แต่.....สิ่งที่ทำให้ช็อคมาก ก็คือ คนไข้เตียงติดกับแฟนเป็นวัณโรคค่ะ
แถมอยู่ริมหน้าต่างเหนือลม ซึ่งลมพัดก็มาหาแฟนเราตรงๆ เลย เฮ้ย เมื่อคืนเราก็ไม่ทันสังเกต
เพราะเลยเวลาที่เค้าให้เยี่ยมแล้วเค้ารีบให้ออกเพราะกลัวรบกวนคนไข้คนอื่น
เรารีบวิ่งไปบอกพยาบาลเลย เพราะว่าแฟนเรากินยาต้านการแข็งตัวของเกร็ดเลือดตลอดชีวิต
ถ้าติดเชื้อวัณโรคจะอันตรายมาก พยาบาลก็เลยกระวีกระวาดมาย้ายเตียงให้ เฮ้อ.... ใจหายหมดเลย
ดีนะไม่ติดเชื้อมา แต่ก็ขอติหน่อยเหอะ ทางรพ. ก็ทราบว่าคนไข้คนไหนป่วยด้วยโรคที่กระจายเชื้อได้
น่าจะให้คนไข้ท่านนั้นใส่ mask หน่อยค่ะ ไม่งั้นคนไข้คนอื่นๆ อาจจะได้ัรับเชื้อไปด้วย 


วันนี้ได้เจอคุณหมอผู้หญิงเจ้าของไข้ เราก็ถามอาการคนไข้ คำตอบที่ได้ทำเราช็อคไปเลย
คุณหมอบอกว่า "คนไข้เต็มที่ก็นั่งรถเข็นตลอดชีวิตค่ะ ไม่สามารถกลับมาเดินได้แน่ๆ"
ช็อค เข้าใจว่าหมอพูดตามพยาธิสภาพ แต่เรานี่สิ ไม่เหลือกำลังใจแล้ว
โลกถล่ม บอกไม่ถูก คุยกับหมอเสร็จไม่กล้าเดินเข้าไปหาแฟนเลย ไม่รู้จะไปไหน 
เดินออกไปหน้ารพ. โทรศัพท์คุยกับน้องสาวไป นั่งร้องไห้กับโทรศัพท์ที่ป้ายรถเมล์เลย
อืม ตอนนี้กินก็ร้องไห้ เดินก็ร้องไห้ นอนก็ร้องไห้ ร้องไห้ได้ทุกที่ไม่อายใครแล้ว ขึ้นรถเมล์กลับห้อง
ก็นั่งร้องไห้จนถึงห้อง คิดแล้วเศร้า


ผ่านไปอีกวัน
บล็อกหน้าจะย้ายไปบำบัดผู้ป่วยที่หอผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองกันเต็มตัวแล้วค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น