พาผู้ป่วยอัมพาตเข้าห้องฉุกเฉินกันค่ะ ชั่วโมงนี้ยาวนานนัก

มาถึงโรงพยาบาลแล้ว เจ้าหน้าที่เข็นคนไข้ไปที่ห้องฉุกเฉิน
ทั้งพยาบาล ทั้งหมอช่วยกันเต็มกำลัง
คุณหมอก็หวังดีเห็นว่าสิทธิประกันสังคมของรพ. ใช้ไม่ได้แล้ว
เพราะตกงานเกิน 6 เดือนและเปลี่ยนสิทธิเป็นบัตรทองไปแล้ว
ก็แนะำนำให้ไปรักษากับรพ.รัฐที่มีสิทธิบัตรทองอยู่

นาทีตอนนั้นเครียดที่สุดในชีิวิตเราตั้งแต่เป็นคนมาแล้วค่ะ
เพราะครอบครัวแฟนเค้าอยากให้ไปรักษาที่รพ.ที่มีสิทธิบัตรทองมากกว่า
แต่เราก็เถียงขาดใจว่ายังไงก็ขอให้พ้นช่วงลูกผีลูกคนไปก่อนแล้วกัน
เพราะคนไข้มีทั้งโรคหัวใจ แล้วตอนนี้อาการก็แย่มาก ขอให้ได้รับการรักษาเบื้องต้นก่อน
ตอนนั้นคนไข้อยู่ในห้องเล็กๆ ในห้องฉุกเฉินอีกที เพื่อให้หมอดูอาการ
ทางพี่สะใภ้ของแฟนไม่อยากให้รักษาแบบเสียเงินก็เถียงกับหมออยู่พักใหญ่
จนแฟนเราได้ยิน พยายามขืนตัวจากบุรุษพยาบาลที่กำลังเจาะเลือดเพื่อส่งตรวจ
ลุกขึ้นมานั่งบนเตียง (ประมาณว่าอย่าเถียงกันเพราะเค้า คิดถึงตอนนี้แล้วเศร้านะ)
จนบุรุษพยาบาลต้องเดินออกมาตามเราบอกให้เค้าไปพูดกับคนไข้หน่อย
เราก็เดินเข้าไปบอกเค้าว่านอนเถอะ ให้หมอดูอาการก่อน เดี๋ยวจัดการให้เอง

เราก็พอจะเข้าใจว่าพื้นฐานแต่ละคนแต่ละบ้านไม่เหมือนกัน แต่เราไม่ชิน
เพราะถ้าเป็นครอบครัวของเรา พี่น้องหรือคนในครอบครัวป่วยขนาดนี้
จะได้ยินแต่คำพูดประมาณว่า "คุณหมอคะ/ครับ ฝากคนไข้ด้วยนะคะ รักษาให้ดีที่สุดเลยนะคะ"
บ้านเราก็ไม่รวย มันอยู่ที่ใจมากกว่า สุดท้ายก็ทำการอุลตร้าซาวด์นหัวใจและ ct scan สมอง
ปรากฏว่าลิ้นหัวใจที่ผ่าตัดไว้มันมีลิ่มเลือดใหญ่ไปเกาะ คุณหมอเรียกเข้าไปดูน่ากลัวมาก
ลิ้นหัวใจมันพยายามจะกระดิกเพื่อส่งเลือดไปเลี้ยง แต่มันติดก้อนเลือดกระดิกไม่ได้ 
นาทีนั้นเราเอ่ยปากบอกหมอเลย ว่ายังไงก็ขอให้หมอรักษาเลยค่ะ เรื่องส่งตัวเดี๋ยวค่อยว่ากัน
เช้านั้นใช้หมอถึงสามท่านในการรักษาแฟน จนเข้าห้องฉุกเฉินเพื่อให้ยาละลายลิ่มเลือดก็สิบเอ็ดโมงเช้า

หลังจากนั้นเราก็มาเช็คกับ สปสช. เรื่องส่งตัวแฟนไปรักษารพ. ต้นสังกัด แต่คำตอบที่ได้คือเต็ม
ไม่สามารถส่งตัวได้ โทรติดต่อกับสปสช. และรพ.ต้นสังกัด รวมถึงรพ.ของรัฐในกทม.เกือบทุกที่
ก็ไม่มีรพ.ไหนสามารถรับตัวได้เลย เพราะวันที่แฟนป่วยเป็นวันหยุดยาว และแพทย์เกี่ยวกับโรคหัวใจ
มีประชุมที่เชียงใหม่ ไม่มีแพทย์รับเคสได้ เพราะเคสของแฟนต้อง consult ทั้งคุณหมอด้านหัวใจและสมองร่วมกัน บางรพ. ก็ไม่มีแพทย์ที่รับเคสด้านหัวใจได้ บางรพ. ก็ไม่สามารถรับเคสสมองได้ เฮ้อ 
อันนี้เราให้แม้กระทั่งน้าสาวซึ่งทำงานอยู่ศิริราชที่ตึกหัวใจโดยตรงช่วยก็ไม่สามารถรับเคสได้จริงๆ
เพราะแพทย์ที่ชำนาญไม่อยู่เลย บางส่วนไปประชุม บางส่วนไปดูงานต่างประเทศ น้าก็บอกว่า
โชคดีมากแล้วนะที่ไปรพ. นี้แล้วเค้าตามแพทย์เฉพาะทางมาได้ครบเลย 
ก็เลยต้องรักษาที่รพ. เอกชนไปก่อน แต่เงินนี่สิ 

สรุปตอนหลังค่ารักษาขาดไม่กี่ร้อยบาทก็ครบแสนพอดี ทางครอบครัวเค้าช่วยมาห้าหมืน 
แล้วก็บอกว่ามีแค่นั้น ไม่มีแล้ว อืม แล้วที่เหลืออีกเกือบห้าหมื่นล่ะ เจ็บปวดมากค่ะ
เงินห้าหมื่นต้องหาภายในสามวัน เราก็เป็นแค่แฟนนะ จะเอาเงินที่บ้านก็ดูไม่ดีเพราะเราผู้หญิง
ยังไม่ได้แต่งงานกัน น้องสาวเรารู้เรื่องมาตลอดก็ขึ้นมาหาที่กรุงเทพ ยื่นบัตรเอทีเอ็มให้เรา
บอกเจ้ กดไปให้หมดเลย ชีวิตคนทั้งคน เค้าไม่คิดมากหรอก ไม่ตายก็หาใหม่ได้ ซึ้งค่ะ
น้องสาวเราเป็นพนักงานชั่วคราวของภาครัฐแห่งหนึ่ง เงินเดือนห้าพันกว่าบาท
เงินในเอทีเอ็มมีอยู่สองหมื่นห้าพันกว่าๆ เราเลยบอกว่าขอยืมก่อนสองหมื่นนะ 

แล้วโชคก็ัยังเข้าข้าง เจ้าหน้าที่ของรพ. ก็รู้เห็นชะตากรรมเรามาตลอด เค้าก็พยายามช่วยคุยกับผู้บริหารให้ว่าขอค้างไว้สามหมื่นแล้วค่อยผ่อนเดือนละ 2000 บาท สรุปนอนรพ. เอกชน 7 วัน ยอดมันวิ่งไปเรื่อย
สุดท้ายคุณหมอก็แนะนำแบบว่าคุณหมอก็เห็นใจเราแล้ว เพราะเรานอนเฝ้าแฟนหน้าไอซียูเลย
บอกว่าถ้าเป็นเคสส่งตัว รพ.รัฐเค้าจะปฏิเสธตลอด ให้เราเช็คบิลออกจาก รพ. ก่อนแล้วพาคนไข้ไปส่ง
ห้องฉุกเฉินรพ.ต้นสังกัดหรือรพ. รัฐอื่นๆ ยังไงเค้าก็ต้องรับคนไข้อยู่แล้ว ก็เลยต้องพากันทุลักทุเล
ออกจากรพ.เอกชนเพื่อไปเข้ารพ.รัฐ

ข้อความที่เราเขียนนี้เราเล่าแค่หลักๆ นะคะ จริงๆ แต่ละช็อตถ้าเล่าเป็นคำพูดคงเล่าไปร้องไห้ไปค่ะ
บล็อกนี้ขอเบรคน้ำตาก่อนนะคะ บล็อกหน้าจะก้าวเข้าห้องฉุกเฉินอีกรอบ
แต่คราวนี้เป็น รพ. ของรัฐค่ะ ติดตามต่อนะคะ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น